เชื่อไหมว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากมาก เมื่อมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์แล้วกลับทำความชั่วมากกว่าทำความดี ก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย และน่าเสียดายมากขึ้นไปอีกหากเกิดเป็นมนุษย์ได้พบกับพระพุทธศาสนามีโอกาสทำความดีเพื่อยกตัวเองให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น สูงขึ้น แต่กลับไม่ได้ทำอะไร ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแสของกิเลส การที่จะไปเกิดในภพภูมิใดนั้น มีเหตุมาจากกิเลสตัณหานั่นเอง เพราะกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วจึงเกิดผลและรับวิบากกรรมที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมไม่ดีก็ตาม
เรื่องของภพภูมิต่างๆ นั้น ในพระไตรปิฎกแบ่งออกเป็น ๓ โลก เริ่มจากโลกเบื้องกลาง ประกอบด้วยมนุสสภูมิ ๑ ภพภูมิ กับเทวภูมิ ๖ ภพภูมิ หรือสวรรค์ ๖ ชั้น สูงจากเราไปเรียกว่าโลกเบื้องสูง มี ๒๐ ภพภูมิ เป็นภูมิของพรหม หรือเรียกว่าพรหมโลก ถ้าต่ำกว่าโลกมนุษย์ลงไปเรียกว่าโลกเบื้องต่ำมี ๔ ภพภูมิ เป็นภูมิของนรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน เรียกว่าอบายภูมิ รวมแล้วเท่ากับ ๓๑ ภพภูมิ
ณ วันนี้เราเป็นมนุษย์ อยู่ในภพภูมิที่ได้เปรียบ เพราะมนุษย์สามารถเลือกภพภูมิเกิดใยภพชาติต่อไปได้ และคนที่จอง “คอนโดมิเนียม” ในภพชาติต่อไปก็ไม่ใช่ใคร นอกจากตัวของเราเอง
ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องฝึกให้มากก็คือ การหมั่นเจริญสติ ซึ่งเป็นงานหลักในการดำรงชีวิตของชาวพุทธนั่นเอง หากเรามีสติมั่นคง ไม่หวั่นไหว ในช่วงเวลาแห่งความตายมาถึง เป็นที่เชื่อมั่นได้เลยว่าเราย่อมไปสู่ภพภูมิที่ดี คือโลกเบื้องสูงอย่างแน่นอน
เรื่องของความตายไม่มีใครรู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ตายที่ไหน หรือตายแล้วจะไปไหน ขอให้ดูที่จิตของเรา ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จิตของเราไปจับจองที่อยู่อาศัยหรือคอนโดมิเนียมในภพภูมิต่างๆ ไว้ตรงไหนบ้าง จิตของเราปรุงแต่งอารมณ์ไปตามสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดกุศลหรืออกุศล เรียกว่าในแต่ละวัน มนุษย์สามารถเปลี่ยนเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นเดรัจฉาน เป็นได้ทุกภพภูมิทั้งที่กายก็ยังเป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ แต่จิตของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว
วันหนึ่งๆ จิตเกิด – ดับไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง เราสะสมอารมณ์ใดไว้ จิตของเราจะบันทึกไว้หมด เมื่อยามที่ร่างกายจะแตกดับ ก็อยู่ที่เราจะสามารถประคองสติให้จิตโน้มนำปูสิ่งที่ดีที่เคยทำไว้ หรือถูกแรงกรรมที่ทำชั่วดึงลงไปรับกรรมที่ทำไว้ก็ได้เช่นกัน
ทั้ง ๓๑ ภพภูมิรอเราอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสเลือกได้ เราจะไม่เลือกเชียวหรือ